รู้จักสัญญาณราคาเมื่อกลับมาทดสอบแนวรับ-แนวต้าน ช่วยให้วางกลยุทธ์ซื้อขายหุ้นได้แม่นยำขึ้น ไม่ถูกกราฟหลอกตา

Pullback vs Throwback ต่างกันอย่างไร? 🤔 มือใหม่หัดเทรดควรรู้!

บทความโดย เอิร์ท ภาสวุฒิ

ในการวิเคราะห์กราฟหุ้น คำว่า Pullback และ Throwback เป็นสองคำที่นักลงทุนควรรู้จัก เพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาให้แม่นยำยิ่งขึ้น ถึงแม้จะคล้ายกันตรงที่ “ราคาเคลื่อนไหวกลับมาทดสอบแนวรับ-แนวต้าน” แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ “ทิศทาง” ของราคาหลังจากการเบรก

📉 Pullback: เมื่อแนวรับกลายเป็นแนวต้าน

Pullback เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้น หลุดแนวรับ (Breakdown) ลงมาแล้ว แต่ราคาก็ ดีดตัวกลับขึ้นไป เพื่อทดสอบแนวรับเดิมอีกครั้ง หากราคาทดสอบแล้วไม่ผ่าน และสุดท้ายลงต่อ ถือเป็นสัญญาณเชิงลบ (Bearish) ที่บ่งบอกว่าตลาดตอบรับการ Breakdown แล้ว นักลงทุนที่เข้าใจสัญญาณนี้มักจะหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อ

 

ตัวอย่าง: ราคาหุ้น A มีแนวรับที่ 5 บาท แต่หลุดลงมาที่ 4.50 บาท จากนั้นราคาดีดกลับไปแตะ 5 บาทอีกครั้ง แต่ไม่สามารถยืนเหนือได้ และลงต่อไปที่ 4 บาท

📈 Throwback: เมื่อแนวต้านกลายเป็นแนวรับ

Throwback เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้น ทะลุแนวต้าน (Breakout) ขึ้นไปแล้ว ย่อตัวลงมา เพื่อทดสอบแนวต้านเดิมอีกครั้ง หากราคาสามารถยืนอยู่ได้ และดีดขึ้นต่อไป ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก (Bullish) ที่ยืนยันว่าการ Breakout นั้นเป็นจริง ไม่ใช่สัญญาณหลอก และเป็นจุดที่นักลงทุนมักจะทยอยเข้าซื้อเพิ่ม

 

ตัวอย่าง: ราคาหุ้น B มีแนวต้านที่ 100 บาท แต่ทะลุขึ้นไปที่ 103 บาท จากนั้นย่อตัวกลับมาที่ 100 บาทอีกครั้ง แต่ไม่หลุด และดีดขึ้นต่อไปที่ 110 บาท

ทำไมการเข้าใจ Pullback และ Throwback ถึงสำคัญ?

บ่อยครั้งที่เราเห็นราคาหุ้นกลับมาที่จุดเดิมหลังจากการเบรก แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นสัญญาณการกลับตัว การรู้จัก Pullback และ Throwback จะช่วยให้เรามองกราฟได้ชัดเจนขึ้น วางกลยุทธ์ซื้อ-ขายได้แม่นยำ และไม่ถูกกราฟ “หลอกตา” อีกต่อไป

ดูข้อมูลหุ้นไทย, DR และ TFEX แบบเรียลไทม์ได้แล้ววันนี้!

เริ่มต้นวิเคราะห์การลงทุนด้วยตัวคุณเอง Aspen ให้คุณใช้งานได้ฟรี!

แชร์ไปที่: